ทำไม Tickmill ต้องขอเอกสารสองชุดสำหรับ KYC? (และเหตุผลที่เป็นประโยชน์ต่อคุณ)

เปิดบทความ: คำถามจากนักเทรด
“หลายคนสงสัยว่า ทำไม Tickmill ถึงต้องขอเอกสารสองอย่างในการยืนยันตัวตน ทั้งที่บางโบรกเกอร์ใช้แค่บัตรประชาชนใบเดียวก็พอ?”
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของซีรีส์ AFTER HOURS ที่จะมาไขข้อสงสัยในประเด็นต่าง ๆ ของวงการโบรกเกอร์และเทรดดิ้ง โดยวันนี้เราจะอธิบายเรื่องการขอเอกสารสองชุด หรือที่นิยมเรียกว่า POI (Proof of Identity – เอกสารยืนยันตัวตน) และ POA (Proof of Address – เอกสารยืนยันที่อยู่) ว่าทำไมจึงสำคัญ และเป็นผลดีกับตัวคุณอย่างไร
POI กับ POA คืออะไร?
POI (Proof of Identity):
เอกสารประเภท “ยืนยันว่าเราคือใคร” เช่น บัตรประจำตัวประชาชน พาสปอร์ต หรือใบขับขี่
ใช้พิสูจน์ว่าข้อมูลส่วนบุคคล (ชื่อ, วันเกิด, เลขที่บัตร) ตรงกับตัวบุคคลจริง ๆ
POA (Proof of Address):
เอกสารประเภท “ยืนยันว่าบ้านอยู่ที่ไหน” เช่น บิลค่าน้ำค่าไฟ, ใบแจ้งยอดธนาคาร, หรือเอกสารราชการที่มีที่อยู่ปัจจุบัน
ช่วยให้โบรกเกอร์ทราบว่า ที่อยู่ที่ลูกค้าแจ้งไว้นั้นตรงกับเอกสารราชการหรือเรียกเก็บเงินจริงหรือไม่
ทำไม Tickmill ต้องขอเอกสารสองอย่าง?
ทำตามมาตรฐานสากล (AML/CFT)
Tickmill อยู่ภายใต้การกำกับดูแลจากหลายหน่วยงานระดับโลก เช่น FCA (อังกฤษ), CySEC (ยุโรป) และ FSA (เซเชลส์)
ข้อกำหนดเหล่านี้เน้นเรื่องการป้องกันการฟอกเงิน (AML) และการต่อต้านการสนับสนุนเงินทุนแก่การก่อการร้าย (CFT) ซึ่งต้องตรวจสอบทั้งตัวบุคคลและที่อยู่
ลดความเสี่ยงเรื่องการหลอกลวง (Fraud)
ใช้แค่เอกสารเดียว (เช่น บัตรประชาชน) อาจปลอมหรือสวมรอยได้ง่าย
เมื่อโบรกเกอร์ขอทั้ง POI และ POA คนร้ายจะต้องปลอมทั้งสองชุด ซึ่งทำได้ยากขึ้นมาก
การปฏิบัติตามกฎหมายหลายประเทศ
Tickmill ให้บริการลูกค้าหลากหลายเขตอำนาจ จึงต้องยึดตามมาตรฐานที่เข้มงวดที่สุด (เช่น FCA) เพื่อครอบคลุมทุกพื้นที่
แม้ FSA ในเซเชลส์จะไม่ได้เคร่งเท่า FCA หรือ CySEC แต่ Tickmill เลือกยึดมาตรฐานสูงสุดเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือทั่วโลก
เพื่อประโยชน์ในอนาคต (ภาษี / การแบ่งประเภทบัญชี)
เอกสาร POA ช่วยยืนยันว่าลูกค้าอยู่ในประเทศหรือเขตใด เพื่อให้โบรกเกอร์ทราบข้อกฎหมายและภาษีที่เกี่ยวข้อง
ยังช่วยให้ Tickmill แบ่งระดับบัญชี (Retail vs. Professional) ได้ตามกฎหมาย MiFID II หรือข้อบังคับอื่น ๆ
แล้วทำไมบางโบรกเกอร์ถึงขอแค่เอกสารตัวเดียว?
มาตรฐานกำกับที่ต่างกัน:
บางโบรกเกอร์อาจอยู่ภายใต้การกำกับที่ผ่อนปรนกว่า (เช่น เซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์) ทำให้ขอเพียงแค่ POI ได้เน้นความเร็วในการเปิดบัญชี:
บางเจ้าต้องการให้ลูกค้าเปิดบัญชีได้ไวที่สุด จึงลดขั้นตอนลง แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงเรื่องการปลอมแปลงและทำให้ความน่าเชื่อถือลดลง
ความเสี่ยงถ้าใช้เอกสารชุดเดียว
โอกาสเกิดบัญชีปลอมสูง
มิจฉาชีพอาจใช้ข้อมูลสวมรอยได้ง่าย ถ้าตรวจแค่บัตรประชาชนหรือพาสปอร์ตใบเดียวอาจถูกลงโทษจากหน่วยงานกำกับ
หากโบรกเกอร์ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐาน AML/CFT อาจถูกปรับหรือพักใบอนุญาตเสียชื่อเสียง
ถ้าเกิดกรณีฉ้อโกงบ่อย โบรกเกอร์จะสูญเสียความเชื่อมั่นจากนักเทรด
สรุป: ทำไมเอกสารสองชุดถึงดีกว่าสำหรับคุณ
การขอ POI และ POA อาจดูเพิ่มขั้นตอน แต่ก็ช่วย:
ป้องกันการฉ้อโกง – ลดโอกาสปลอมแปลงตัวตน
รักษามาตรฐานสากล – ทำให้คุณสบายใจว่าเทรดกับโบรกเกอร์ที่ปลอดภัยจริง
เพิ่มความน่าเชื่อถือ – ทั้งโบรกเกอร์และลูกค้าต่างมั่นใจได้ว่าระบบมีเกราะป้องกันความเสี่ยงที่ดี
ชวนพูดคุยต่อ
หากคุณมีข้อสงสัยเกี่ยวกับขั้นตอนการยืนยันตัวตน การเทรด หรืออยากพูดคุยเรื่องใดเพิ่มเติม ลองคอมเมนต์ถามไว้ได้เลย แล้วพบกันใน AFTER HOURS ครั้งถัดไป!
Tip: การเตรียมเอกสารให้ครบ (POI และ POA) ก่อนสมัคร จะช่วยให้การเปิดบัญชีราบรื่นและรวดเร็วขึ้น!
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: เนื้อหาที่แสดงไว้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นข้อมูลเท่านั้นและไม่ควรถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน มุมมอง ข้อมูล หรือความคิดเห็นที่แสดงในข้อความเป็นของผู้เขียน แต่เพียงผู้เดียวไม่ใช่ของนายจ้าง องค์กร คณะกรรมการ หรือกลุ่ม หรือบุคคล หรือ บริษัท ของผู้เขียน
ประสิทธิภาพในอดีตไม่ได้บ่งบอกถึงผลลัพธ์ในอนาคต
คำเตือนความเสี่ยงสูง: CFD เป็นเครื่องมือที่ซับซ้อนและมีความเสี่ยงสูงที่จะสูญเสียเงินอย่างรวดเร็วเนื่องจากเลเวอเรจ 75% และ 75% ของบัญชีนักลงทุนรายย่อยสูญเสียเงินเมื่อซื้อขาย CFD กับ Tickmill UK Ltd และ Tickmill Europe Ltd ตามลำดับ คุณควรพิจารณาว่าคุณเข้าใจวิธีการทำงานของ CFD หรือไม่ และคุณสามารถรับความเสี่ยงสูงที่จะสูญเสียเงินของคุณได้หรือไม่
ฟิวเจอร์สและออปชัน: การซื้อขายฟิวเจอร์สและออปชันโดยใช้มาร์จินมีความเสี่ยงสูงและอาจส่งผลให้เกิดการสูญเสียเกินกว่าเงินลงทุนเริ่มต้นของคุณ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ไม่เหมาะสำหรับนักลงทุนทุกคน โปรดมั่นใจว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงทั้งหมดและดูแลการจัดการความเสี่ยงของคุณอย่างเหมาะสม